รายละเอียดโครงการ
- แหล่งทุน: [object Object]
- ปีงบประมาณ: 2021
- ลักษณะโครงการ: โครงการเดี่ยว
- ประเภทโครงการ: โครงการวิจัยที่ได้รับงบเงินรายได้ ส่วนกลาง มก.
- หัวหน้าโครงการ: ดร.พิลาณี ไวถนอมสัตย์,
- ผู้ร่วมวิจัย:
- พิลาณี ไวถนอมสัตย์, หัวหน้าชุดโครงการ
- จารุพร รักใหม่, ผู้ร่วมวิจัย
- สุพนิดา วินิจฉัย, ผู้ร่วมวิจัย
- ศุมาพร เกษมสำราญ, ผู้ร่วมวิจัย
- สุนีย์ จึงธีรพานิช, ผู้ร่วมวิจัย
- เนตรดาว มุสิกมาศ, ผู้ร่วมวิจัย
- ศิริลักษณ์ เลี้ยงประยูร, ผู้ร่วมวิจัย
- อันธิกา บุญแดง, ผู้ร่วมวิจัย
- พรพิมล จันทร์ฉาย, ผู้ร่วมวิจัย
- วราวุฒิ ศุภมิตรมงคล, ผู้ร่วมวิจัย
- ไกรฤกษ์ โง้วสุวรรณ, ผู้ร่วมวิจัย
- พัลลภา วุฒิภาพรกุล, ผู้ร่วมวิจัย
- นัดดามาศ โตมอญ, ผู้ร่วมวิจัย
- นัฏพร ขนุนก้อน, ผู้ร่วมวิจัย
ความเป็นมาของโครงการ
รังนกเป็นผลิตผลที่ได้จากน้ำลายของนกแอ่นกินรัง โดยพ่อแม่นกจะสร้างรังจากต่อมน้ำลายก่อนการผสมพันธุ์เพื่อใช้เป็นที่วางไข่และเป็นที่อยู่ของลูกนกก่อนที่จะเริ่มหัดบินได้ ส่วนประกอบของรังนกประมาณ 85-90% เป็นน้ำลาย และ 3-15% เป็นขนอ่อน ในเมืองไทยมีนกแอ่นกินรังทั้งหมด 3 ชนิด คือ นกแอ่นกินรัง นกแอ่นกินรังตะโพกขาว และนกแอ่นหางสี่เหลี่ยมหรือนกแอ่นรังดำ
น้ำลายหรือสารคัดหลั่งของนกแอ่นที่ใช้ทำรังมีลักษณะคล้ายเมือกคือสารไกลโคโปรตีนซึ่งเป็นสารประกอบเชิงซ้อนระหว่างคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน รังนกประกอบด้วยโปรตีน 62% ของน้ำหนัก ประกอบด้วยกรดอะมิโน 17 ชนิด โดยมีซีรีน วาลีน ไอโซลิวซีน ไทโรซีน กรดแอสพาร์ติก และ แอสพาราจีน เป็นส่วนประกอบหลัก ส่วนคาร์โบไฮเดรตคิดเป็น 28% ของน้ำหนัก และแซคคาไรด์ที่สำคัญ ได้แก่ sialic acid, กาแลคโตส, N-acetylgalactosamine, N-acetylglucosamine, ฟรุกโตส และแมนโนส ส่วนที่เหลือคือความชื้น (8%) เถ้า/แร่ธาตุ (2%) และไขมัน (1%) ไกลโคโปรตีน ช่วยกระตุ้นเม็ดเลือดขาวในน้ำเหลืองของมนุษย์ เพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย กระตุ้นการแบ่งเซลล์ของเม็ดเลือดขาว และกระตุ้นการหลั่งสารภูมิต้านทานต่างๆ ได้แก่ อิมมูโนโกลบูลินเอซึ่งเป็นแอนติบอดีหลักบริเวณเยื่อบุทางเดินอาหารและทางเดินหายใจ รวมทั้งอิมมูโนโกลบูลินเอ็ม และอิมมูโนโกลบูลินจีซึ่งเป็นแอนติบอดีในเลือด รังนกจึงช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันการติดเชื้อ ดีต่อระบบทางเดินหายใจ บรรเทาอาการหวัดและภูมิแพ้ และสร้างสารต่อต้านแบคทีเรียและเชื้อไวรัสขึ้นมา ช่วยรักษาอาการไอและเจ็บคอ ตลอดจนบำรุงปอดและหลอดลม
Sialic acid หรือ N-acetylneuraminic acid (NANA) เป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวที่มีคาร์บอน 9 อะตอม จัดเป็นสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพหลักที่พบในรังนกมีประมาณ 9% โดยมักเกาะอยู่บนผิวของรังนกอย่างหลวมๆ หรือเชื่อมอยู่กับโมเลกุลไกลแคนด้วยพันธะโควาเลนต์ และเชื่อมกับโปรตีน ซึ่งพบว่า NANA ในรังนกส่วนใหญ่มักอยู่ในรูป conjugated form ซึ่งมีรายงานว่าเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ และเป็นส่วนประกอบหลักของสารในกลุ่มไกลโคไลปิดที่เป็นองค์ประกอบของแกงกลิโอไซด์ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของสมอง ช่วยเพิ่มความจำ มีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบของระบบประสาท เสริมภูมิคุ้มกัน ช่วยชะลอวัย ช่วยให้ผิวพรรณสดใส เสริมสร้างการเจริญของเส้นผม จึงทำให้ปัจจุบันสารสกัดจากรังนกถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางมากขึ้น โดยมีการศึกษาองค์ประกอบของสารสกัดจากรังนกด้วยวิธีโครมาโทกราฟี และศึกษาฤทธิ์ทางชีวภาพด้วยการวิเคราะห์กิจกรรมของเอนไซม์ tyrosinase, melanocytes และโมเดล 3 มิติของผิว พบว่า NANA สามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ tyrosinase ซึ่งมีบทบาทสำคัญในกระบวนการสร้างเม็ดสีผิว โดยมีค่า IC50 ต่อเอนไซม์ tyrosinase ของเห็ดและเอนไซม์ tyrosinase ของคนเท่ากับ 16.93 มิลลิโมลาร์ และ 0.10 มิลลิโมลาร์ ตามลำดับ ดังนั้น NANA จึงมีศักยภาพใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางในกลุ่ม whitening ในส่วนของสมบัติการเสริมสร้างการเจริญของเส้นผม Okajima (2009) พบว่า sialic acid สามารถช่วยกระตุ้นการงอกของเส้นผมในผู้ที่มีปัญหาศีรษะล้านได้ (83%) เนื่องจาก sialic acid ช่วยกระตุ้นการสร้าง IGF-1 ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญสำหรับการเจริญและการรอดชีวิตของเซลล์ นอกจากนี้สารสกัดจากรังนกกินได้สามารถกระตุ้นกระบวนการไมโตซีสเพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของผิวหนังและยับยั้งการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ในโฮสต์ โดยพบว่าสารสกัดจากรังนกซึ่งมี NANA เป็นส่วนประกอบเป็นส่วนใหญ่ มีส่วนช่วยในการต้านเชื้อไข้หวัดใหญ่ และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันได้ และในปี 2011 Matsukawa และคณะ พบว่า สารสกัดจากรังนกกินได้ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกระดูกและความเข้มข้นแคลเซียม ซึ่งกระบวนการเหล่านี้มีโปรตีนเป็นกลไกสำคัญ
เนื่องจากในรังนกกินประกอบด้วยโปรตีนเป็นองค์ประกอบหลัก ซึ่งเป็นสารสำคัญหลักในการเจริญเติบโต การพัฒนาและการผลิตสารทุติยภูมิหลายชนิดในระบบการป้องกันของสิ่งมีชีวิต ปริมาณโปรตีนในรังนกกินได้แต่ละประเทศมีปริมาณที่แตกต่างกัน เช่น รังนกจากประเทศอินโดนีเซียมีปริมาณโปรตีน 55.62% มาเลเซีย 52.8-54.3% และจากไทย 60.0-66.9% โปรตีนที่พบในรังนกมีขนาดต่างๆ ประมาณ 140.8, 64.8 และ 21.2 kDa แต่เมื่อใช้เอนไซม์ในการย่อยรังนกกินได้พบว่าโปรตีนขนาดใหญ่ส่วนมากจะถูกย่อยลงไปเป็นขนาด 70, 40 kDa หรือเล็กกว่านั้น ในขณะที่โปรตีนขนาดใหญ่บางตัวยังคงสภาพ โปรตีนที่พบมากในรังนกกินได้จากประเทศมาเลเซียเป็นโปรตีนที่มีน้ำหนักโมเลกุล 37-52 kDa ซึ่งขนาดของโปรตีนที่แตกต่างกันจะมีผลต่อกิจกรรมทางชีวภาพที่แตกต่างกันด้วย พอลิเปปไทด์ เป็นส่วนของโมเลกุลโปรตีนที่ประกอบด้วยกรดอะมิโนประมาณ 10-50 โมเลกุล มาเรียงต่อกันด้วยพันธะเปปไทด์เป็นสายยาว หากมีจำนวนกรดอะมิโน 3-10 โมเลกุล มาเรียงต่อกัน เรียกว่า โอลิโกเปปไทด์ ถ้ามากกว่า 50 โมเลกุล เรียกว่า โปรตีน เปปไทด์เป็นตัวส่งของข้อมูลในเนื้อเยื่อซึ่งทำให้เป็นที่ต้องการอย่างมากในด้านเครื่องสำอางค์และเภสัชกรรม เปปไทด์ในเครื่องสำอางมักเรียกว่า biomimetic peptide ซึ่งหมายถึง สารที่เลียนแบบกลไกการออกฤทธิ์และเกิดจากสารที่เป็นธรรมชาติ เปปไทด์ที่เป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอางนั้นมีอนุภาคขนาดเล็กประกอบด้วยกรดอะมิโน 6–7 ชนิด แต่ก็มีข้อยกเว้นสำหรับกฎนี้ด้วย (8– และ 20– เปปไทด์ เคยถูกพบด้วยเช่นกัน) เปปไทด์มีลักษณะน้ำหนักโมเลกุลขนาดเล็ก (500–1000 Da) เปปไทด์โมเลกุลสั้นสามารถแทรกซึมเข้าไปในผิวหนังชั้นนอกได้ง่ายขึ้น โมเลกุลเชิงเส้นที่มีขนาดยาวหรือโมเลกุลที่มีการแตกแขนงมีความยากที่จะเข้าแทรกซึมเข้าไปในเซลล์ของชั้น corneum ซึ่งประกอบด้วยเซลล์เคราตินที่ตายแล้วซึ่งทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำในการยึดวัสดุฟิล์มพื้นผิว ฟิล์มเคลือบผิวเป็นปราการด่านแรกของผิว ช่วยป้องกันไม่ให้ผิวแห้งหรือเปียกเกินไป ช่วยชะลอการดูดซึมสารเคมีแปลกปลอม นอกจากนี้เปปไทด์ยังมีความสามารถในการจับกับน้ำทำให้ช่วยในการรักษาความชุ่มชื้นได้ดี ด้วยคุณสมบัตินี้เปปไทด์จึงถูกใช้ในการเพิ่มความชุ่มชื้นและลดเลือนริ้วรอยให้กับผิวหนัง
ศักยภาพของรังนกในด้านประสิทธิภาพสําหรับเครื่องสําอาง
จากข้อมูลปัจจุบัน คาดการณ์ว่าปี 2563-2566 ตลาดเพื่อสุขภาพและความงามจะเติบโตถึง 6.7% คิดเป็นมูลค่าตลาดรวม 2.18 แสนล้านบาท โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวยังครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ด้วยสัดส่วน 42% รองลงมา คือผลิตภัณฑ์ผม 15% เครื่องสำอาง 12% ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทำความสะอาดร่างกาย 14% น้ำหอม 5% และผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปาก 12% แต่จากสถานการณ์โรคระบาดในปัจจุบันถือเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายสำหรับทุกธุรกิจรวมถึงตลาดสุขภาพและความงาม โดยการคาดการณ์ถึงภาพรวมของการเติบโตยังทำได้ยากเนื่องจากความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภคมีแนวโน้มลดลง ดังนั้นแนวทางหนึ่งที่จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นในผู้บริโภคคือการใช้การตลาดนำงานวิจัยเพื่อช่วยพัฒนานวัตกรรมด้านสุขภาพและความงามให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน จากงานวิจัย พบว่าในสารสกัดที่ได้จากรังนกธรรมชาติจะประกอบด้วย Epidermal Growth Factor (EGF) ซึ่งมีองค์ประกอบเหมือนกับ EGF ในมนุษย์ ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยกระตุ้นการแบ่งตัวของ เซลล์ผิวหนังชั้นนอกสุด และเยื่อบุต่างๆของคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ EGF สามารถกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ การเจริญเติบโตของเซลล์ และมีประสิทธิภาพในการช่วยซ่อมแซมผิว จากคุณสมบัติดังกล่าวทำให้รังนกมีสมบัติที่เหมาะสมในการนำมาผลิตเป็นวัตถุดิบออกฤทธิ์สำคัญในเครื่องสำอางเพื่อฟื้นฟูสภาพผิว
นอกจากนี้นโยบายของสำนักงานอาหารและยาในปัจจุบัน มีความพยายามในการผลักดันงานวิจัยและนวัตกรรมสารสกัดเข้าสู่มาตรฐานเพื่อเพิ่มการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ให้มากขึ้น จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมจากงานวิจัยด้านสารสกัดรังนกกินได้ภายใต้แบรนด์เคยูที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสารสกัดรังนกแท้ให้เข้าสู่ระดับเชิงพาณิชย์ต่อไป ซึ่งมาตรฐานสินค้าเกษตรของรังนก (มกษ.6705-2557) สำหรับเป็นเกณฑ์คัดเลือกรังนกผ่านกระบวนการทำความสะอาดขั้นต้น พร้อมจำหน่ายเพื่อการบริโภค ต้องเป็นรังนกแท้ (วิเคราะห์ด้วย FT-IR และหาโปรตีนรวม) มีสีและกลิ่นตามธรรมชาติ มีความชื้นไม่เกิน 15% มีสารปนเปื้อนและมีปริมาณเชื้อจุลินทรีย์ไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนด ในปัจจุบันการตรวจพิสูจน์รังนกแท้จะวิเคราะห์ด้วย 2 เทคนิค คือ การพิสูจน์เอกลักษณ์ด้วยวิธี FT-IR spectroscopy ร่วมกับการทดสอบโปรตีนด้วยวิธี Kjeldahl ซึ่งทั้งสองเทคนิค จำเป็นต้องใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์และอุปกรณ์หลายชนิด วิธี Kjeldahl ยังคงต้องใช้สารเคมี ตัวอย่างรักนกที่ผ่านการทดสอบโปรตีนด้วยวิธีนี้จะถูกทำลาย และใช้เวลาในการทดสอบรวม 6-15 วัน (รหัสทดสอบ FF-FN-BIR-001, รังนก (วิเคราะห์โดยคุณภาพ) ดังนั้นการพัฒนาวิธีการตรวจสอบคุณภาพและพิสูจน์เอกลักษณ์รังนกแท้จึงยังมีความจำเป็นอย่างยิ่ง โดยต้องพัฒนาให้วิเคราะห์ได้รวดเร็วขึ้นและใช้เทคนิคเพียงเทคนิคเดียว เราจึงเล่งเห็นการนำเทคนิคเนียร์อินฟราเรดสเปกโทรสโกปี (Near-Infrared spectroscopy; NIR) มาประยุกต์ใช้ ด้วยเป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมในการนำมาใช้วิเคราะห์คุณภาพและวิเคราะห์ปริมาณในผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรอย่างแพร่หลาย โดยการประยุกต์ใช้เทคนิค NIR ในการตรวจสอบรังนกแท้และรังนกปลอมปนในประเทศอินโดนีเซีย และสามารถคัดแยกได้ถูกต้องกว่า 96% ด้วยความเชี่ยวชาญที่เรามีในด้าน NIR กิจกรรมนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาวิธีทางเลือกใหม่โดยการใช้เทคนิค NIR เพียงเทคนิคเดียวในการตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์รักนกแท้และวิเคราะห์ปริมาณโปรตีนรวมในตัวอย่างรังนกได้ในคราวเดียวกัน ซึ่งประหยัดเวลา ประหยัดงบประมาณเพราะใช้เครื่อง NIR spectrometer เพียงเครื่องเดียวในการวิเคราะห์ เป็นการสร้างวิธีการวิเคราะห์ใหม่ ยกระดับคุณภาพการตรวจสอบเพื่อให้ผลิตภัณฑ์รังนกมีการแข่งขันด้านคุณภาพและลดการปลอมปนส่งเสริมความปลอดภัย
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ในการเพิ่มมูลค่าให้แก่รังนกซึ่งเป็นผลิตผลสำคัญที่ได้จากนกแอ่นกินรังโดยการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์และสารสำคัญที่มีมูลค่าสูงขึ้นซึ่งจะประกอบด้วย 1) สารสกัดรีจูวิเนตเปปไทด์ 2) NANA 3) นีโอโซมรีจูวิเนตเปปไทด์ และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและเครื่องสำอางประกอบด้วย 1) เครื่องสำอางบำรุงผิวผสมรีจูวิเนตเปปไทด์ต้านอนุมูลอิสระ 2) นาโนเวชสำอางฟื้นฟูผิวคุณภาพสูงผสมนีโอโซมรีจูวิเนตเปปไทด์ ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนและสร้างรายได้ให้แก่ภาคเกษตรกรเลี้ยงรังนก ผู้ประกอบในอุตสาหกรรมสารสกัดและอุตสาหกรรมเพื่อสุขภาพและเครื่องสำอาง รวมทั้งกระตุ้นเศรษฐกิจ และเพิ่มมูลค่าการการจำหน่ายภายในประเทศและการส่งออกไปยังประเทศที่นิยมบริโภคและใช้ผลิตภัณฑ์จากรังนก เช่น ประเทศจีนได้ ตลอดจนพัฒนาวิธีการตรวจสอบรังนกแท้และวิเคราะห์ปริมาณโปรตีนรวมได้ในคราวเดียวกันโดยใช้เทคนิค NIR
วัตถุประสงค์
1. เพื่อศึกษาองค์ประกอบหลักทางชีวเคมีด้วยวิธีทางเคมี และพัฒนาวิธีการตรวจสอบรังนกแท้และวิเคราะห์ปริมาณโปรตีนรวมในรังนกนางแอ่นเคยูอย่างรวดเร็วด้วยคลื่นแสงเนียร์อินฟราเรด
2. เพื่อศึกษาการผลิตรีจูวิเนตเปปไทด์คุณภาพสูงจากรังนกนางแอ่นเคยูด้วย Green technology เพื่อใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและเวชสำอาง
3. เพื่อศึกษาการผลิต N-Acetylneuraminic Acid (NANA) จากรังนกนางแอ่นเคยูด้วย Green technology เพื่อใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและเวชสำอาง
4. เพื่อผลิตนีโอโซมในการนำส่งสารรีจูวิเนตเปปไทด์จากรังนกนางแอ่นเคยูที่ให้สรรพคุณด้านการชะลอริ้วรอย เสริมสร้างอิลาสตินและคอลลาเจน
5. เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางบำรุงผิวต้นแบบที่มีส่วนผสมของรีจูวิเนตเปปไทด์ต้านอนุมูลอิสระ
6. เพิ่อพัฒนานาโนเวชสำอางฟื้นฟูผิวคุณภาพสูงผสมนีโอโซมรีจูวิเนตเปปไทด์ (PRIME skin rejuvenating peptide and NANA from KU Swallow’s nest)
7. เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ความเป็นไปได้ทางการตลาดของของสารรีจูวิเนตเปปไทด์, N-Acetylneuraminic Acid (NANA), นีโอโซมรีจูวิเนตเปปไทด์ และผลิตภัณฑ์นาโนเวชสำอางฟื้นฟูผิวคุณภาพสูงผสมนีโอโซมรีจูวิเนตเปปไทด์
Abstract
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่รังนกโดยการสกัดสารสำคัญ 1) สารสกัดรีจูวิเนตเพพไทด์ 2) สารสกัด N-Acetylneuraminic Acid (NANA) 3) นีโอโซมรีจูวิเนตเพพไทด์ และพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ 1) เครื่องสำอางบำรุงผิวผสมรีจูวิเนตเพพไทด์ต้านอนุมูลอิสระ และ 2) นาโนเวชสำอางผสมนีโอโซมรีจูวิเนตเพพไทด์ ตลอดจนพัฒนาวิธีการตรวจสอบรังนกแท้และวิเคราะห์ปริมาณโปรตีนรวมได้ในคราวเดียวกันโดยใช้เทคนิค NIR ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนและสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรเลี้ยงรังนก ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมสารสกัดและอุตสาหกรรมเพื่อสุขภาพและเครื่องสำอาง รวมทั้งกระตุ้นเศรษฐกิจ และเพิ่มมูลค่าการจำหน่ายภายในประเทศและส่งออกไปยังประเทศที่นิยมบริโภคและใช้ผลิตภัณฑ์จากรังนก เช่น ประเทศจีน
จากการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในอุตสาหกรรมและการแข่งขัน และการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายใน (SWOT) พบว่าตลาดของผลิตภัณฑ์สารสกัดรังนก เป็นตลาดที่มีความน่าสนใจในการเข้าลงทุนและมีโอกาสทางการตลาดค่อนข้างสูง เนื่องจากมีความเสี่ยงทางด้านอุตสาหกรรมน้อย อีกทั้งการเข้าสู่ตลาดของคู่แข่งหน้าใหม่เข้าได้ยาก ปัจจุบันผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางทั้งภายในและต่างประเทศนิยมใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติมากขึ้น เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับสารเคมีสังเคราะห์ในเครื่องสำอาง และความปลอดภัยต่อสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อม อีกทั้งความเชื่อมั่นในภาพลักษณ์ที่ดีของรังนกจึงไม่ยากที่จะยอมรับผลิตภัณฑ์จากสารสกัดรังนก ดังนั้นสารสกัดจากรังนกจึงมีความเป็นไปได้ทางการตลาด แต่ควรมุ่งเน้นตลาดต่างประเทศ เนื่องจากความต้องการภายในประเทศยังมีน้อย และควรมุ่งเน้นการพัฒนาด้านคุณสมบัติ ประสิทธิภาพ และการสร้างความน่าเชื่อถือของสารสกัด
งานวิจัยนี้ได้ทำการศึกษาด้วยฟูเรียร์ทรานส์ฟอร์มเนียร์อินฟราเรดสเปกโทรสโกปี (FT-NIR) สำหรับการตรวจพิสูจน์รังนกแอ่นแท้ในรังนกแอ่นล้างสะอาดและเครื่องดื่มรังนกแอ่น และสำหรับการวิเคราะห์ปริมาณโปรตีนรวมในรังนกแอ่นล้างสะอาด ตัวอย่างทั้งหมดถูกแปรรูปเป็นผงแห้งและรวบรวมข้อมูลสเปกตรัม NIR โดยใช้เครื่อง FT-NIR สเปกโตรมิเตอร์ในช่วงเลขคลื่นตั้งแต่ 11536 – 3952 cm-1 วิธี FT-NIR ที่ดีที่สุดสำหรับการตรวจพิสูจน์รังนกแอ่นแท้เกิดจากการพัฒนาสมการจำแนกกลุ่มด้วยการวิเคราะห์ถดถอยน้อยที่สุดบางส่วน (partial least square discriminant analysis; PLSDA) โดยใช้สเปกตรัม NIR ที่ปรับแต่งด้วยวิธี standard normal variate (SNV) สมการ PLSDA-SNV เหล่านี้สามารถตรวจพิสูจน์ในรังนกแอ่นล้างสะอาดและเครื่องดื่มรังนกแอ่นชุดควบคุมที่ทราบปริมาณเนื้อรังนกซึ่งเป็นตัวอย่างชุดทดสอบได้ถูกต้อง 100% นอกจากนี้ได้ทำการพัฒนาสร้างสมการการวิเคราะห์แบบกำลังสองน้อยที่สุดบางส่วน (PLS) สำหรับใช้วิเคราะห์ปริมาณโปรตีนรวมในรังนกแอ่นล้างสะอาด โดยเปรียบเทียบระหว่างสมการที่สร้างจากข้อมูลสเปกตรัม NIR ดั้งเดิมและที่ปรับแต่งแล้ว พบว่าสมการ PLS-SNV มีความสามารถในการวิเคราะห์โปรตีนรวมได้แม่นยำที่สุด จะให้ค่าความผิดพลาดมาตรฐานสำหรับการทำนาย (standard error for prediction; SEP) เป็น 0.333% และค่าสัมประสิทธิ์การวิเคราะห์ (coefficient of determination; R2) เท่ากับ 0.95 ผลการวิจัยทั้งหมดแสดงให้เห็นทางเลือกที่เป็นไปได้สำหรับการนำเนียร์อินฟราเรดสเปกโทรสโกปีมาใช้ในการประกันคุณภาพรังนกแอ่นและผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มรังนกแอ่น
ในการสกัดสารสำคัญจากรังนกแอ่น ได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบปริมาณของ NANA อิสระ และทั้งหมดของตัวอย่างรังนก 2 ชนิด คือ รังนกแอ่นชนิดคุกกี้ และรังนกแอ่นชนิดกะเทย พบว่าปริมาณ NANA อิสระ และทั้งหมดของตัวอย่างรังนกแอ่นชนิดคุกกี้ (4.66 และ 122.43 มิลลิกรัมต่อกรัม ตามลำดับ) มีค่าสูงกว่ารังนกกะเทยเล็กน้อย (3.49 และ 118.00 มิลลิกรัมต่อกรัม ตามลำดับ) ดังนั้น จึงเลือกรังนกแอ่นชนิดคุกกี้สำหรับการสกัด NANA ด้วยกรดไฮโดรคลอริก ความเข้มข้น 0.1 โมลาร์ นาน 2 ชั่วโมง จะได้สารสกัด NANA ที่มีปริมาณ NANA 113.24 มิลลิกรัมต่อกรัม นอกจากนี้ ได้พัฒนากระบวนการผลิตรีจูวิเนตเพพไทด์จากรังนกด้วยเอนไซม์ โดยศึกษาชนิดของเอนไซม์และสภาวะที่เหมาะสม จะได้ผงรีจูวิเนตเพพไทด์ที่มีปริมาณโปรตีน 66.52% กรดอะมิโนทั้งหมด 53.98 มิลลิกรัม/100มิลลิกรัม โดยมีกรดแอสพาร์ติกมากที่สุด 5.30 มิลลิกรัม/100มิลลิกรัม ไม่พบเชื้อจุลินทรีย์และไม่พบตะกั่ว สารหนู และปรอท ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ไฟโบรบลาสท์ผิวหนังของมนุษย์ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี ABTS และมีศักยภาพในการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไฮยารูโลนิเดสได้ดีที่สุด จากนั้นนำผงรีจูวิเนตเพพไทด์มากักเก็บในรูปแบบนีโอโซมด้วยเทคนิคการสร้างฟิล์มเพื่อใช้เป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอาง จะได้นีโอโซมที่กักเก็บสารรีจูวิเนตเพพไทด์ที่มีลักษณะปรากฏเป็นผงแห้งสีเหลืองนวล นีโอโซมมีลักษณะทรงกลมผนังเซลล์สองชั้น ขนา